บัญญัติ 10
ประการ หมายถึงพันธสัญญาที่พระองค์ทรงกระทำกับพวกเขา บัญญัติสิบประการเป็นบัญญัติที่สำคัญสำหรับชาวคริสต์ด้วย แม้ว่าบัญญัติสำคัญที่สุดคือบัญญัติแห่งความรัก แต่บัญญัติสิบประการเป็นหลักการที่เป็นรูปธรรมเพื่อการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะเป็นหลักการที่กว้างก็ตาม บัญญัติสิบประการมีดังนี้
1.จงนมัสการพระเจ้าแต่ผู้เดียว
2. อย่าออกพระนามพระเจ้าโดยไม่สมควร
3.วันพระเจ้าให้ถือเป็นวันศักดิ์สิทธิ์
4.จงนับถือบิดามารดา
5.อย่าฆ่าคน
6.อย่าล่วงประเวณี
7.อย่าลักทรัพย์
8.อย่านินทาว่าร้ายผู้อื่น
9.อย่าคิดโลภในประเวณี
10.อย่าคิดโลภในสิ่งของของผู้อื่น
บัญญัติข้อที่ 4
จงนับถือบิดามารดา ประเพณีของอิสราเอลไม่แตกต่างจากประเพณีชนชาติต่าง ๆ ในโลกซึ่งให้ความนับถือบิดามารดาและ บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ของตนแต่ก็จริงสำหรับทุกเผ่าพันธุ์เช่นเดียวกันว่า มีผู้ที่อกตัญญูต่อบุพการีของตนในลักษณะต่าง ๆ
บัญญัติข้อนี้มีไว้เพื่อย้ำให้เห็นความสำคัญและกล่าวโทษผู้ที่กระทำผิดในเรื่องนี้ว่า
"ผู้ใดทุบตีบิดามารดาของตน จะถูกปรับโทษ ถึงตาย"
"ผู้ใดด่าแช่งบิดามารดาของตน ต้องถูกปรับโทษถึงตาย"
"นัยน์ตาที่เยาะเย้ยบิดาและดูถูกไม่ฟังมารดา จะถูกแห่งหุบเขาจิกออก และแร้งกินเสีย"
ในพันธสัญญาเดิมมีบทสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่มาก โดยเฉพาะในหนังสือสุภาษิตซึ่งล้วนสอนให้ปฏิบัติต่อบิดามารดา ด้วยความเคารพ
"บุตรของเราเอ๋ยจงรักษาบัญญัติของพ่อเจ้า และอย่าละทิ้งคำสั่งสอนของแม่เจ้า
มัดมันไว้ในใจของเจ้าเสมอผูกมันไว้ที่คอของเจ้า เจ้าจะเดินมันจะนำหน้า ถ้าเจ้านอนลงมันจะเฝ้าเจ้า
และเมื่อเจ้าตื่นมันจะพูดกับเจ้า"
ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูก็ทรงย้ำเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่ก็อาจมีความสงสัยในท่าทีและคำสอนขของพระองค์ในบางครั้ง
เมื่อพระองค์บอกกับผู้ที่อยากติดตามพระองค์ซึ่งขออนุญาตกลับไปฝังศพบิดามารดาก่อนว่า
"ปล่อยให้คนตายฝังคนตายเองเถิด" หรือ "ถ้าผู้ใดมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยาและพี่น้องชายหญิง แม้กระทั่งชีวิตของตนเองด้วย ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้"
คำว่า "ชัง" ในที่นี้มีความหมายว่า ถือเป็นเรื่องรอง ไม่ได้หมายความว่าให้ "เกลียดชัง" ตามความหมายของอักษร เช่นเดียวกับเรื่องของคนที่ขออนุญาตไปฝังศพ ซึ่งหมายถึงขอไปเลี้ยงดูบิดามารดาจนท่านถึงแก่กรรมก่อน ซึ่งพระเยซูก็คงไม่ให้ห้ามเพราะสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำก็ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ แต่ทรงบอกเช่นนั้นเพื่อให้ผู้นั้นเห็นว่า การติดตามพระองค์นั้นสำคัญกว่าทุกสิ่งที่เหลือพระเจ้าจะทรงจัดการให้เอง เซนต์ปอลเองก็สอนเรื่องนี้หลายครั้งเช่นเดียวกันว่า
"จงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำ อย่างนั้นเป็นการถูก
จงให้เกียรติแก่บิดาของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย เพื่อเจ้าจะไปดีมาดีและ
มีอายุยืนนานบนแผ่นดินโลก" แต่ท่านก็สอนบิดามารดาเช่นเดียวกันว่า "อย่างยั่วยุบุตรของตนให้เกิดโทสะ
แต่จงอบรมบุตรของตนด้วยการสั่งสอนและ การเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า
การนับถือบิดารมารดาและบรรพบุรุษเป็นหน้าที่สำคัญเพราะพวกเขาคือผู้ถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมอันป
ระกอบด้วยคุณค่า ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อการดำเนินชีวิตในทุก ๆ ด้าน บุตรคือผู้สืบทอดเจตนารมณ์ต่าง ๆ
ด้วยการรับและปฏิบัติตาม ซึ่งก็อาจมีการ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขของกาลเวลา
การเน้นความเคารพต่อบิดามารดาเป็นการตอกย้ำความสำคัญของอุดมคติ คุณธรรมและคุณค่าต่าง ๆ ของอดีต
เพื่อไม่ให้ลืมอดีต ลืมรากฐานชีวิตดั้งเดิมของตนเอง หันไปหาสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่มีคุณค่า
ที่แท้จริงและไม่อาจต่อเนื่องกับประเพณีเดิมได้ ดำเนินชีวิตไปอย่างไม่มีรากเหง้า
บัญญัติข้อที่ 5
อย่าฆ่าคน บัญญัติข้อนี้มาจากความเชื่อที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ให้กำเนิดแก่ชีวิตมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นเจ้าของและมีสิทธิ์เหนือชีวิตนี้ชีวิตมีค่าสูงสุดซึ่งมนุษย์ยอมสละทุกสิ่งเพื่อจะได้อยู่ยืนนาน เมื่อลมหายใจเข้าออกมาจากพระเจ้า ทุกขณะในชีวิต จึงเป็นชีวิตในพระเจ้า
"พระองค์ทางเป็นผู้ประทานชีวิต ลมหายใจและสิ่งสารพัดแต่คนทั้งปวงต่างหากพระองค์ได้ทรงสร้างมนุษยชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ที่จริงพระองค์ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากทุกคนเลย ด้วยว่า "เรามีชีวิต เป็นอยู่และไหวตัวอยู่ในพระองค์ ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวไว้ว่า "แท้จริงเราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของพระองค์" เมื่อชีวิตเป็นสิ่งประเสริฐเช่นนี้ ความตายจึงเป็นสิ่งตรงกันข้าม
อิสราเอลมองว่าถ้าชีวิตเป็นสิ่งที่ดีความตายก็เป็นสิ่งชั่วร้าย บางครั้งก็มองว่าความตายเป็นการลงโทษของพระเจ้า แต่ก็ถือด้วยว่าเป็นกฎ "ธรรมชาติ" หรือกฎที่มาจากพระเจ้าที่มนุษย์ต้องตาย พระเจ้าเท่านั้นไม่รู้ตายพระองค์ทรงเป็น "พระเจ้าทรงชีวิตมนุษย์ไม่มีสิทธิ์ทำลายชีวิตทั้งของตนเองและของผู้อื่น
พันธสัญญาเดิมกำหนดโทษในเรื่องนี้ไว้หนักมาก เมื่อทำให้ผู้อื่น ตายตัวเองก็ต้องตายด้วยนอกจากการฆ่าแล้วยังรวมความไปถึงการเบียดเบียนด้วย ซึ่งได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น
บัญญัติข้อที่ 6
อย่าล่วงประเวณี การผิดประเวณีเป็นความผิดของทั้งชายและหญิงเท่ากัน อย่างไรก็ดีก็ยังมองว่าเป็นความผิดของหญิง มากกว่า หญิงมักจะถูกประฌามและกล่าวโทษมากกว่าชาย (ซึ่งเป็นลักษณะของสังคมส่วนใหญ่ในโลกแม้ในปัจจุบัน) แต่ก็ไม่ได้ หมายความว่า ฝ่ายชายจะไม่ผิดเพราะโทษที่กำหนดไว้ในนั้นมีสำหรับหญิงและชายหนักพอ ๆ กัน
ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลในยุคแรกซึ่งเริ่มจากอาบราฮัมนั้น บุรุษอาจมีภรรยาได้หลายคน อาบราฮัมไม่มีบุตรกับ นางซาราห์จึงรับเอานางฮาการ์ซึ่งเป็นคนใช้ชาวอียิปต์มาเป็นภรรยาอีกผู้หนึ่งเพื่อจะได้ทายาทสืบตระกูล (ดู ปฐก.6) ต่อมาได้มี ประเพณีผัวเดียวเมียเดียวโดยการอ้างถึงการสร้างโลก ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างอาดัมและอีฟขึ้นมา
"ไม่ควรที่ผู้ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น"
ในอีกตอนหนึ่งเกี่ยวกับการสร้างโลก (ซึ่งดูเหมือนสะท้อนประเพณีความเชื่อของอิสราเอล ในยุคที่หนังสือปฐมกาล เขียนขึ้นมา) บอกว่า
"ผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน" พระองค์ทรงอวยพรให้มีลูกหลานเต็มแผ่นดินด้วยเหตุนี้การแต่งงานจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หย่าร้างมิได้ "
"เราเกลียดการหย่าร้าง และการที่ใครกระทำการทารุณต่อภรรยาของตน"
อย่างไรก็ดี ปรากฏว่าในพันธสัญญาเดิมมีการหย่าร้างแต่โดยมีเงื่อนไขว่าฝ่ายภรรยาเป็นหมัน เพราะถือว่า การมีบุตรเป็น พระพรของพระเจ้าหรือว่ามีการผิดประเวณี การล่วงประเวณีเป็นความผิดหนัก และมีโทษหนักเท่ากับการฆ่าคนทีเดียวและไม่ได้หมายถึงการล่วงประเวณีระหว่าง ชายและหญิงเท่านั้น แต่ระหว่างชายกับชาย หรือระหว่างคนกับสัตว์ ไม่ว่าชายหรือหญิงอีกด้วย
"ถ้าผู้ใดร่วมประเวณีกับภรรยาของเพื่อนบ้าน ให้ขว้างผู้ร่วมประเวณีทั้งชายและหญิงนั้นให้ตาย ผู้ใดเข้านอน กับภรรยาบิดาตน
ผู้นั้นได้เปิดของลับของบิดาตนให้ขว้างทั้งสองนั้นเสียให้ตาย ที่เขาต้องตายนั้นเขาเองรับผิดชอบ ผู้ใดเข้านอนกับลูกสะใภ้ให้ขว้างทั้งสองนั้นให้ตายเพราะเขาผิดประเวณีต่อญาติสนิทที่เขาต้องตายนั้นเขาเองรับผิดชอบ ชายใดเข้านอนกับผู้ชายกระทำอย่างกับผู้หญิง
ทั้งสองคนกระทำผิดในสิ่งที่พึงรังเกียจให้ขว้างทั้งสองคนนั้นเสียให้ตาย ที่เขาต้องตายนั้นเขาเองรับผิดชอบชายใดได้ภรรยและได้มารดาของของนางมาเป็นภรรยาด้วย นี่เป็นเรื่องอธรรม ให้เผาทั้งชายนั้นและหญิงทั้งสองนั้นเสียด้วยไฟ เพื่อว่าจะไม่มีความอธรรมในหมู่พวกเจ้า ถ้าชายใดสมสู่กับสัตว์เดรัชฉาน ให้ขว้างชายคนนั้นเสียให้ตายและเจ้าจงขว้างสัตว์เดรัชฉานนั้นเสียให้ตาย
ถ้าหญิงใดเข้าใกล้สัตว์เดรัชฉานนั้นเสียให้ตาย ที่เขาต้องตายนั้น เขาเองรับผิดชอบ "
ในพระวรสารมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหญิงที่ถูกจับได้ขณะที่ผิดประเวณี ชาวยิวนำมาถามพระเยซูว่าจะลงโทษตามกฎ ของโมเสสหรือไม่ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า
"ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่ผิดก็ให้เอาหินขว้างเขาก่อน"
แล้วพระองค์ก็เงียบไปโดยก้มลงเขียนอะไรบางอย่างบนพื้นดิน จนกระทั่งชาวยิวเหล่านั้นค่อย
ๆ จากไป คงเหลือแต่สตรี ผู้นั้น พระเยซูตรัสกับนางว่า "เราจะไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน ไปเถิดแล้วอย่าทำบาปอีก"
เรื่องนี้ยืนยันคำสอนข้ออื่น ๆ ซึ่งพระเยซูทรงสอนบนภูเขา พระองค์ทรงเสด็จมาเพื่อทำให้กฏหมายเดิมสมบูรณ์ และทรง แสดงให้เห็นถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อคนบาป ทั้งนี้ก็ยังยืนยันเช่นเดิมว่าสิ่งที่ผิดก็ยังผิด บาปก็คือบาป
บัญญัติข้อที่ 7
อย่าลักทรัพย์ บัญญัติข้อนี้ไม่ได้หมายถึงแต่การขโมยของผู้อื่น แต่รวมถึงการเบียดเบียน การกดขี่ การเอาเปรียบผู้อ่อนแอกว่า ผู้ที่ยากจนกว่า หรืออีกนัยหนึ่งเป็นเนื่องเกี่ยวกับความยุติธรรม ส่วนที่เกี่ยวกับการลักทรัพย์โดยตรง พระคัมภีร์กล่าวถึงความโลภในทรัพย์สินของผู้อื่นและของโลกโดยทั่วไป การลักทรัพย์มีโทษหนักเบาตามกรณี หนังสือห้าเล่มแรกได้กำหนดกฎเกณฑ์และการลงโทษเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้มาก
เกี่ยวกับบัญญัติข้อนี้มีเรื่องที่กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ซึ่งมนุษย์แต่ละคนมีแม้ว่าในท้ายที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นของพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า "เจ้าจะขายที่ดินของเจ้าให้ขาดมิได้ เพราะว่าที่ดินนั้นเป็นของเรา เพราะเจ้าเป็นแขกเมือง และเป็นผู้อาศัยอยู่กับเรา"
บัญญัติข้อที่ 8
อย่านินทาว่าร้าย ซึ่งรวมถึงการมุสาการเป็นพยานเท็จทำให้ผู้อื่นเสียหาย เสียชื่อเสียง การหลอกลวงทุกชนิดทั้งด้วย การปฏิบัติและคำพูด "คนไร้ค่าคือคนชั่วร้ายที่เที่ยวไปด้วยวาจาคดเคี้ยว ตาของเขาก็ขยิบ เท้าของเขาก็ขยับ นิ้วของเขาก็ชี้ไป ประดิษฐ์ความ ชั่วร้ายด้วยใจตลบแตลงหว่านความแตกร้าวอยู่เรื่อยไป"
การกล่าวเท็จโยงไปถึงจิตใจและความคิดที่ชั่วร้ายความอิจฉาริษยา ความมุ่งร้ายต่อผู้อื่น ดังตัวอย่างของกาอินที่ฆ่าอาแบล น้องชายพระเจ้าทรงถามถึงอาแบล กาอินก็โกหกว่าไม่ทราบหรือพี่น้องของโยเซฟที่อิจฉาโยเซฟและขายให้กับ พ่อค้าอียิปต์แล้วไปโกหกยากอบผู้บิดาว่าโยเซฟถูกสัตว์ป่ากัดกิน และเรื่องอื่น ๆ ซึ่งได้รับการกล่าวโทษและประฌาม เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงประฌามพวกฟาริสี คัมภีราจารย์ เพราะความหน้าซื่อใจคดของพวกเขา พระองค์เปรียบเทียบคนเเหล่านี้กับหลุมศพที่ งดงามแต่ภายนอก คนเหล่านี้ไม่พูดความจริงและไม่ปฏิบัติ "จริง" เซนต์ปิเตอร์สอนว่า
"ที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์แล้วด้วยการเชื่อฟังความจริงจนมีใจรักเพื่อนพี่น้องอย่างจริงใจ ท่านทั้งหลายจงรักกันมากด้วยน้ำใสใจจริง" ทั้งนี้เพราะพวกเขาเชื่อในพระเยซูผู้ทรงเป็น "หนทางความจริง และชีวิต"
บัญญัติข้อที่ 9 และ 10
ในหนังสือห้าเล่มแรกรวมอยู่ด้วยกันคือ "อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน
หรือทาสทาสีของเขาหรือโคลาของเขาหรือสิ่ง ๆ ซึ่งเป็นของเพื่อนบ้าน" ทั้งสองข้อนี้เกี่ยวกับข้อหกและข้อเจ็ด
แต่เน้นที่จิตใจของผู้กระทำผิดซึ่งมีความโลภมากมักได้ของของผู้อื่น แม้ว่าจะยังไม่ได้ ลงมือกระทำก็ตาม
พระเยซูเองก็เน้นเรื่องนี้ พระองค์ทรงสอนว่า "ความคิดชั่วร้าย การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ
การใส่ร้าย ก็ออกมาจากใจ" พันธสัญญาเดิมสอนว่า "พระเจ้าทรงทอดพระเนตรจิตใจ" ผู้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าและเข้าใกล้ พระองค์ได้คือที่มีจิตใจบริสุทธิ์เท่านั้นพระองค์ทรงหยั่งทราบในใจของมนุษย์และทรงทดลองใจของมนุษย์ พระเยซูตรัสว่า
"เจ้าทั้งหลายดูทำทีเป็นคนชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ แต่พระเจ้าทรงทราบใจของท่านทั้งหลาย ด้วยว่าสิ่งที่เป็นที่นับถือ
ท่ามกลางมนุษย์ก็ยังเป็นที่เกลียดชังจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า" ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เป็นความสัมพันธ์ "ทางใจ" พระองค์ทรง "ดลใจ" มนุษย์โดยพระจิตของพระองค์ ทรง "เปิดใจ" ทำให้มนุษย์เชื่อดังที่พระองค์ทรงเปิดจิตใจของสาวกสองคนที่กำลังสนทนากันเรื่องพระเยซู โดยไม่ทราบว่าผู้ที่ร่วม เดินทางกับพวกเขานั้นคือ พระเยซูผู้กลับคืนชีพแล้ว ผู้ที่จะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้ต้องเป็นผู้มีใจบริสุทธิ์ เหมือนเด็กน้อย ผู้ยังมีแต่ความซื่อและบริสุทธิ์รัก
"ทุกคนที่รักก็บังเกิดจากพระเจ้าและรู้จักพระเจ้าผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้าเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นความรัก" ผู้ที่รักคือ ผู้ที่มีพระจิตของพระเจ้า เขาเกิดใหม่และเป็นบุตรของพระเจ้าด้วย
เป็นการยากอย่างยิ่งที่จะกล่าวถึงเรื่องพระตรีเอกภาพอันเป็นรหัสธรรมอันสำคัญและลึกซึ้งนี้แต่เพียงสั้น ๆ เหตุผลของ มนุษย์คงไม่สามารถ "เข้าถึง" ได้จนสามารถ "อธิบาย" ได้อย่างเห็นแจ้ง เช่นเดียวกับไม่สามารถกระทำได้กับรหัสธรรมอื่น ๆ
พระเยซูได้ทรงเปิดเผยให้ทราบถึงพระบิดาและพระจิต แต่พระองค์ไม่เคยเอ่ยคำว่า "สาม" พระองค์ตรัสถึงความเป็นหนึ่งเดียว กับพระบิดาและกับพระจิต พยานความเชื่อของพระศาสนจักรนับแต่บรรดาสาวกทำให้เชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียว ทรงเป็นพระเจ้าเดียวเป็นสามพระบุคคล (One God,Three Persons) เท่าเทียมกันทุกประการ ทรงมีธรรมชาติเดียว คือ ธรรมชาติ หรือ ความเป็นพระเจ้าไม่ทรงมีเบื้องต้นและปั้นปลาย ทรงเป็นอยู่แต่นิรันดร สัจธรรมนี้พระเยซูคริสต์ได้ทรงเปิดเผยและ ถูกถ่ายทอดมาด้วยภาษามนุษย์ ซึ่งมีขีดจำกัดและอยู่ในเงื่อนไขของกาลเวลาและสถานที่ และเป็นข้อจำกัดของธรรมชาติมนุษย์ของแต่มนุษย์ก็สามารถข้ามพ้นขีดจำกัดนี้ได้โดยการดำเนินชีวิตตามวิถีแห่งพระเจ้า วิถีแห่งความรักด้วยจิตวิญญาณแห่งพระเจ้าผู้ประทับ อยู่กับผู้ที่มีหัวใจรัก นี่คือวิถีชีวิตของพระเยซูคริสต์เองผู้ทรงเป็น "บุตรหัวปี" ของพระเจ้าแต่ทรงกำเนิดแต่นิรันดรภาพ ความรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้ก็จะเกิดขึ้นจากการร่วมชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
คริสต์ศาสนา
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บล็อกของเพื่อน ๆ
10901 ธนากร นิยมรัตร์ tanagon005-blog.blogspot.com 10902 เอกชยา ด้วงทอง ekchaya-blog.blogspot.com 10903 อภิวิชญ์ พงศกรรังศิลป์ api...
-
1 นึกถึงสูตรการหาเส้นรอบวงของวงกลม. เส้นรอบวงของวงกลม คือ ระยะทางรอบๆ วงกลมนั้น หรือพูดได้อีกอย่างว่า เส้นผ่านศูนย์กลาง คือ ความยา...
-
การออกแบบหมายถึงอะไร การออกแบบ หมายถึง การสร้างสรรค์ผลงานในรูป 2 มิติ และ 3 มิติ ให้เกิดความสวยงาม และ ถ่ายทอดรูปแบบจากความคิดออกมาเป็...
-
การแนะแนวและการให้คำปรึกษา จิตวิทยาการแนะแนว ความหมายของการแนะแนว การแนะแนว หมายถึง กระบวนการทางการศึกษาที่ช่วยให้ บุคคลรู้จัก แล...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น